จริยธรรมการใช้อินเทอร์เน็ต
จริยธรรม หมายถึง หลักศีลธรรมจรรยาที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ หรือควบคุมการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณาจริยธรรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์แล้ว สามารถสรุปได้ 4 ประเด็น ได้แก่
1. ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy)
ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ โดยทั่วไปหมายถึงสิทธิที่จะอยู่ตามลำพังและเป็นสิทธิที่เจ้าของสามารถที่จะควบคุมข้อมูลของตนเองในการเปิดเผยให้กับผู้อื่น ปัจจุบันมีประเด็นเกี่ยวกับการละเมิดความเป็นส่วนตัวที่เป็นข้อหน้าสังเกตดังนี้
- การเข้าไปดูข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และการบันทึกข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการบันทึก-แลกเปลี่ยนข้อมูลที่บุคคลเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์และกลุ่มข่าวสาร
- การใช้เทคโนโลยีในกาติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมของบุคคล เช่น บริษัทใช้คอมพิวเตอร์ในการตรวจจับหรือเฝ้าดูการปฏิบัติงาน/การใช้บริการของพนักงาน
- การใช้ข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ในการขยายตลาด
- การรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล์ หมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพื่อนำไปสร้างฐานข้อมูลประวัติลูกค้าใหม่ขึ้นมาแล้วนำไปขายให้กับบริษัทอื่น
2. ความถูกต้อง (Information Accuracy)
ในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการรวบรวม จัดเก็บ และเรียกใช้ข้อมูลนั้น คุณลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งคือความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูล ทั้งนี้ ข้อมูลจะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความถูกต้องในการบันทึกข้อมูลด้วย ประเด็นด้านจริยธรรมที่เกี่ยวกับความถูกต้องของข้อมูล โดยทั่วไปจะพิจารณาว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความถูกต้องของข้อมูลที่จัดเก็บและเผยแพร่
3. ความเป็นเจ้าของ (Information Property)
ในสังคมของเทคโนโลยีสารสนเทศมักจะกล่าวถึงการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ เมื่อท่านซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีการจดลิขสิทธิ์ นั่นหมายความว่าท่านจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการใช้ซอฟต์แวร์นั้น ซึ่งลิขสิทธิ์ในการใช้จะแตกต่างกันไปในแต่ละสินค้าและบริษัท บางโปรแกรมอนุญาตให้ติดตั้งได้เพียงเครื่องเดียว ในขณะที่บางโปรแกรมอนุญาตให้ใช้ได้หลายเครื่อง ตราบใดที่ท่านยังเป็นบุคคลที่มีสิทธิในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ซื้อมา การคัดลอกโปรแกรมให้กับบุคคลอื่น เป็นการกระทำที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่าท่านมีสิทธิในโปรแกรมนั้นในระดับใด
4. การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility)
คือการป้องกันการเข้าไปดำเนินการกับข้อมูลของผู้ใช้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นการรักษาความลับของข้อมูล ตัวอย่างสิทธิในการใช้งานระบบเช่น การบันทึก การแก้ไข/ปรับปรุง และการลบ เป็นต้น ดังนั้น ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์จึงได้มีการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ และการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมนั้น ถือว่าเป็นการผิดจริยธรรมเช่นเดียวกับการละเมิดข้อมูลส่วนตัว ในการใช้งานคอมพิวเตอร์และเครือข่ายร่วมกัน หากผู้ใช้ร่วมใจกันปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับของแต่ละหน่วยงานอย่างเคร่งครัดแล้ว การผิดจริยธรรมตามประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นก็คงจะไม่เกิดขึ้น
วิเคราะห์ข่าว
โดยส่วนตัวผมหลังจากที่ได้อ่านข่าวนี้นั้นผมคิดว่าเป็นสิ่งที่มีความผิดร้ายแรงทั้งในด้านกฎหมายและหลักจริยธรรมเป็นอันมาก เพราะคนร้ายนั้นทำผิดในด้านกฎหมายอย่างเห็นได้ชัดตามข่าว แต่ส่วนในเรื่องของหลักจริยธรรมแล้วคนร้ายมีความผิดเนื่องจากใช้เทคโนโลยีที่ซึ่งเป็นสิ่งอำนวยควาสะดวกสบายเข้าไปก่อกวนระบบเป็นเหตุให้มีผู้เสียหายดังข่าวผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์อีกทั้งยังทำให้ผู้เสียหายต้องเสียสุขภาพทางจิตเนื่องจากว่าไม่รู้ว่ายังมีคนที่เป็นแฮคเกอร์แบบนี้อยู่ในสังคมอยู่อีกกี่ราย
จรรยาบรรณการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์
1. ให้ระมัดระวังการละเมิดหรือสร้างความเสียหายให้ผู้อื่น
2. ให้แหล่งที่มาของข้อความ ควรอ้างอิงแหล่งข่าวได้
3. ไม่กระทำการรบกวนผู้อื่นด้วยการโฆษณาเกินความจำเป็น
4. ดูแลและแก้ไขหากตกเป็นเหยื่อจากโปรแกรมอันไม่พึงประสงค์ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นเป็นเหยื่อ
บัญญัติ 10 ประการ
1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายหรือละเมิดผู้อื่น
2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ต้องมีจรรยาบรรณการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์
7. ให้ระมัดระวังในการละเมิดหรือสร้างความเสียหายให้ผู้อื่น
8. ให้แหล่งที่มาของข้อความ ควรอ้างอิงแหล่งข่าวได้
9. ไม่กระทำการรบกวนผู้อื่นด้วยการโฆษณาเกินความจำเป็น
10. ดูแลและแก้ไขหากตกเป็นเหยื่อจากโปรแกรมอันไม่พึงประสงค์ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นเป็นเหยื่อ
ตัวอย่างการใช่อินเทอร์ไปในทางที่ผิด
พ่อค้าร้านข้าวมันไก่ขอนแก่น ขึ้นโรงพักแจ้งความตร.ช่วยตามหาหลานสาววัย 12 ปี หายไปจากบ้าน หลังเล่นอินเตอร์เน็ต แชทกับผู้ชายชื่อ "แมน" อ้างว่าเรียนจบปริญญาโท เป็นเจ้าของร้านเกมส์อยู่กรุงเทพฯ และโทรศัพท์คุยกันไม่กี่วัน ขอออกไปพบเพื่อนสนิทเลยไม่เอะใจ แต่ไม่กลับบ้านมา 2 วันแล้ว หวั่นถูกลวงไปทำมิดีมิร้าย
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 5 ตุลาคม ร.ต.อ.ปรีชา อรรคฮาต ร้อยเวร สภ.เมือง ขอนแก่น รับแจ้งจากนายอนุกร นครศรี อายุ 34 ปี และ นางธัญญา นครศรี อายุ 24 ปี สามีภรรยา อยู่บ้านเช่าในซอยผู้ใหญ่บ้านเก่า ต.ศิลา อ.เมือง ขอนแก่น มีอาชีพค้าขายข้าวมันไก่ชื่อ "กรุงเทพข้าวมันไก่" ถ.กสิกรทุ่งสร้าง-บ้านดอน ต.ศิลา ว่า หลานสาวเล่นแชททางอินเตอร์เน็ต แล้วถูกหลอกไปจากบ้านที่ขอนแก่น กลัวว่าจะถูกนำพาไปในทางที่ไม่ดี หรือหลอกไปย่ำยี ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามค้นหาหลานสาวของตนด้วย นายอนุกรกล่าวว่า หลานสาวตนชื่อ ด.ญ.เฟิร์น (นามสมมติ) อายุ 12 ปี เรียนชั้น ป.6 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในตัวเมืองขอนแก่น สูงประมาณ 155 เซนติเมตร ผิวเนื้อดำแดง ผมสั้น เป็นคนหน้าตาดี เป็นนักร้องประจำโรงเรียนที่เรียนอยู่ โดยตนและภรรยาได้รับ ด.ญ.เฟิร์นมาเป็นหลานสาว ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ เพราะพ่อของ ด.ญ.เฟิร์น เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนแม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ชื่อนางพิมพิสา วิศิษฏ์วิทยากร ขายของอยู่ที่แขวงสายไหม เขตสายไหม
นางธัญญาเปิดเผยว่า ช่วงวันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นมา ด.ญ.เฟิร์น ได้ขอไปเล่นคอมพิวเตอร์ในร้านเกมส์ซึ่งอยู่ติดกับร้านข้าวมันไก่ ที่ตนกับสามีขายอยู่ หลังจากนั้นก็แอบไปร้านเกมส์แทบทุกวัน ไม่ยอมมาช่วยขายข้าวมันไก่ จนตนจับได้ว่า ด.ญ.เฟิร์น ไปเล่นแช็ตส่องกล้องเห็นหน้าคนคุยด้วยในคอมพิวเตอร์ในร้านเกมส์ กับคนชื่อ "แมน" ตนจึงซักถามกลับว่าคนชื่อแมนเป็นใคร หลานสาวบอกว่าเป็นคนกรุงเทพฯ เป็นเจ้าของร้านเกมส์แห่งหนึ่งในกทม. และเรียนจบปริญญาโท ซึ่งไม่ทราบว่าอายุนายแมนเท่าไร ตนและสามีจึงห้ามหลานสาวอย่าไปเล่นแชทในร้านเกมส์อีก และห้ามหลานสาวคบกับใครที่ไม่เคยรู้จัก หรือเห็นตัวจริงเพราะจะถูกหลอกไปในทางทำให้เสียหายได้ ซึ่งหลานสาวเชื่อฟังโดยไม่เข้าร้านเกมส์ แต่ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับคนชื่อแมนตลอดทั้งวัน ในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา
นายอนุกรกล่าวต่อว่า เมื่อเช้าวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา ตนออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปซื้อไก่ ด.ญ.เฟิร์น ได้ขออนุญาตไปหาเพื่อนรักที่ชื่อ ด.ญ.ปูเป้ ซึ่งเรียนหนังสือชั้นเดียวกันมีบ้านอยู่ในหมู่บ้านหนองไผ่ ต.ศิลา ตนบอกว่าให้รีบไปรีบกลับ กระทั่งตนกลับมาจากตลาดถึงบ้านก็ยังไม่พบหลานสาว จึงโทรศัพท์เข้าไปที่มือถือของหลานสาวพบว่าปิดเครื่องไปแล้ว จึงรอจนถึงเย็นก็ไปตามหาที่บ้านของ ด.ญ.ปูเป้ ก็บอกว่าหลานสาวไม่ได้มาหา ตั้งแต่โรงเรียนปิดเทอมยังไม่เห็นกันเลย ตนและภรรยาจึงรอหลานสาวจนถึงเช้า วันที่ 5 ตุลาคม หลานสาวก็ยังไม่กลับมาบ้าน เกิดความไม่สบายใจได้ตามหาไปยังบ้านเพื่อนของหลานสาวทุกคน ก็บอกว่ายังไม่พบกันเลย ตนจึงเชื่อว่าหลานสาวถูก นายแมนหลอกไปในทางที่ไม่ดีแล้ว จึงมาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ติดตามหา ด.ญ.เฟิร์น หรือติดต่อที่โทรศัพท์มือถือหมายเลข 080-179-7949 และ 087-427-6904 โดยจะไปรับด้วยตนเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อบ่ายวันเดียวกัน มีข้อความส่งเข้าไปที่โทรศัพท์มือถือของนางพิมพิสา แม่ของ ด.ญ.เฟิร์นระบุว่า "ไม่ต้องเป็นห่วงสบายดี" โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ส่ง เพราะเมื่อ นางพิมพิสา โทร.กลับไปเครื่องดังกล่าวปิดไปแล้ว
จึงเป็นอุธาหรณ์สอนใจ ผู็ปกครองควรดูแลใกล้ชิดบุตรให้ความรู้และหาแนวทางการป้องกันอันตรายจากอินเทอร์เน็ตเพื่อมิให้เกิดความสูญเสีย
เนื้อหาข่าว
นายภาณุพัฒน์ เพ็ญพัฒน์ ฤกษ์เสริมสุข อายุ 30 ปี ชาว จ.นครนายก เป็นจำเลยในความผิดฐานเข้าระบบและข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกัน ทำลายแก้ไข เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม ทำให้เกิดความเสียหาย ,ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ,ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยจำเลยบังอาจใช้ข้อมูลหมายเลข 16 หลัก ที่ปรากฏบนหน้าบัตร เอทีเอ็ม พร้อมรหัสลับที่ใช้ถอนเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ผู้เสียหายที่ออกให้แก่ลูกค้าซึ่งเป็นผู้เสียหายอีก 4 ราย แล้วจำเลยนำไปสมัครขอใช้บริการ SCB EASY NET โดยกำหนดชื่อประจำตัว และรหัสผ่านด้วยตนเองตามขั้นตอนและวิธีการที่ ธนาคารฯ กำหนด เป็นเหตุให้ธนาคารฯหลงเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้เสียหาย4 ราย จึงออกชื่อประจำตัวผู้ใช้ให้ จากนั้นจำเลยได้นำชื่อประจำตัวของผู้เสียหาย และรหัสผ่านไปโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหายเพื่อใช้ชำระค่าสินค้า หรือบริการทางอินเตอร์เน็ตหลายครั้งซึ่งเป็นร้านค้าต่างประเทศรวม 4 ครั้ง เป็นเงิน 368,800 บาท ต่อมาตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรรมทาง เทคโนโลยี (ปอท.)ติดตามจับกุมได้ พร้อมให้การรับสารภาพ เหตุเกิดที่แขวงเขต- จตุจักร กรุงเทพฯ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน
กระทำผิดมาตรตรา
กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/5 ประกอบมาตรา269/7 ,334,335 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 5,7,9
บทลงโทษในการกระทำผิด
ศาลตัดสินบทลงโทษฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ 5 กระทง จำคุกกระทงละ 9 เดือน เป็นจำคุก 3 ปี 9 เดือน ฐานเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกัน ทำลายแก้ไข เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม ทำให้เกิดความเสียหายฯ 4 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี เป็นจำคุก 8 ปี และฐานลักทรัพย์ฯ จำคุกกระทงละ 2 ปี 5 กระทง เป็นจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 21 ปี 9 เดือน คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลย 10 ปี 10 เดือน 15 วัน และให้จำเลยชดใช้เงินคืน 368,800 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย.
โดยส่วนตัวผมหลังจากที่ได้อ่านข่าวนี้นั้นผมคิดว่าเป็นสิ่งที่มีความผิดร้ายแรงทั้งในด้านกฎหมายและหลักจริยธรรมเป็นอันมาก เพราะคนร้ายนั้นทำผิดในด้านกฎหมายอย่างเห็นได้ชัดตามข่าว แต่ส่วนในเรื่องของหลักจริยธรรมแล้วคนร้ายมีความผิดเนื่องจากใช้เทคโนโลยีที่ซึ่งเป็นสิ่งอำนวยควาสะดวกสบายเข้าไปก่อกวนระบบเป็นเหตุให้มีผู้เสียหายดังข่าวผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์อีกทั้งยังทำให้ผู้เสียหายต้องเสียสุขภาพทางจิตเนื่องจากว่าไม่รู้ว่ายังมีคนที่เป็นแฮคเกอร์แบบนี้อยู่ในสังคมอยู่อีกกี่ราย